วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ใบงานที่ 4



ใบงานที่ 4



Blog from Yam Moo

ใบงานที่ 2


การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ

          การมีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ซึ่งประกอบด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเราเองอย่างเหมาะสมถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหาร อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ การป้องกันโรค การใช้ไลฟ์สไตล์ (Life Style) ที่ถูกต้องไม่ทำลายสุขภาพของตัวเราทั้งระยะสั้นและระยะยาว และที่สำคัญคือ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ   ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกาย(กล้ามเนื้อ)มีความแข็งแรง มีความสดชื่น กระฉับกระเฉง เป็นต้น
          ซึ่งวิธีการออกกำลังกายนั้นทำได้หลายวิธีแตกต่างกันเช่น การเดินเร็ว ๆ การวิ่งเยาะ ๆ การเต้นแกว่งแขน ยกขา อยู่กับที่ ในบ้าน ในสนามหน้าบ้าน การรำมวยจีน ไทเก็ก การใช้ไม้พลองประกอบ   การทำโยคะ การเต้นแอโรบิคที่ถูกต้อง และที่สำคัญมาก ๆ คือ   จะต้องดูตัวเราเองว่า อายุ สุขภาพ ของเราเหมาะกับการออกกำลังกายแบบไหนดีที่จะมีประโยชน์เหมาะกับร่างกายของเรา มากที่สุด ไม่ใช่ว่าจะออกกำลังกายตามคนอื่น ๆ
วิธีการออกกำลังกาย
                การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น นายแพทย์ พิชัย ดิฐสถาพร  จาก โรงพยาบาลบาลเกษมราษฎร์ จังหวัดสระบุรี ได้กล่าวให้ความรู้ว่า  จะต้องให้กล้ามเนื้อหลัก ๆหรือกล้ามเนื้อชุดใหญ่ได้เคลื่อนไหวหรือที่เรามักจะพูดกันว่า ให้กล้ามเนื้อหลัก ๆ ได้ทำงาน เช่น กล้ามเนื้อที่ แขน ขา ท้อง คอ รวมทั้งปอดและหัวใจ
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย  
          1. ทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ หรือร่างกายนั่นเอง การทำงานของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อคล่องแคล่วขึ้น
          2. ช่วยขับของเสียที่เกิดจากกระบวนการ เมแทโบลิซึม (Metabolism) ของเซลล์ ออกจากร่างกาย   เช่น คาร์บอนไดออกไซด์   ที่ออกมาพร้อมลมหายใจออก ของเสียที่ออกมาพร้อมเหงื่อ และ ปัสสาวะ เป็นต้น
          3. กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรงขึ้น สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี รวมทั้งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจด้วยเช่นกัน
          4. ช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อดีขึ้น เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          5. ลดไขมันในเลือด กล้ามเนื้อ และ กระดูกแข็งแรง ช่วยให้เอ็นที่ยึดข้อต่อต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น
          6. ช่วยให้ ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ระบบ อิมมูน (Immune System) ของร่างกายแข็งแรงดีขึ้น
          7. ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ เป็นการลด ความเครียด ของร่างกาย เพราะถ้าเรามีความเครียดมาก ๆ จะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน โรคหัวใจ การขับถ่ายผิดปกติ และ  ที่สำคัญยิ่งคือ ความเครียดจะนำไป
สู่การเป็น โรคมะเร็ง ได้

6 ประโยชน์ที่สมองได้รับ จากการออกกำลังกาย






              การเคลื่อนไหวด้วยการออกกำลังกาย เปรียบแล้วก็เหมือนกับยารักษาโรค และนี่คือประโยชน์ที่สมองของคุณจะได้รับทุกครั้งที่คุณเริ่มออกกำลังกาย

     1. ช่วยให้สมองเจริญเติบโต

              ยิ่งเราเเก่ตัวลงเท่าไหร่ การเกิดของเซลล์สมองก็จะยิ่งช้าลงเท่านั้น และเนื้อเยื่อในสมองของเราก็จะค่อย ๆ หดตัวลง แต่การออกกำลังกายจะช่วยเหลือในส่วนนี้ได้ จากการศึกษาผลการสแกนสมองของคนอายุ 60-79 ปี ที่มีสุขภาพดี แต่ไม่ชอบเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายนั้น ได้เเสดงให้เห็นว่า สมองของพวกเขามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นภายใน 6 เดือน หลังจากที่ออกกำลังกายเเบบเต้นแอโรบิก แต่คนที่ออกกำลังกายเเบบยืด หรือคลายกล้ามเนื้อ จะได้รับผลน้อยมาก ๆ

              นอกจากนี้ นักวิจัยได้สรุปว่า การที่ระบบกล้ามเนื้อหัวใจสามารถทำงานได้ดีขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เเละการออกกำลังกายเเบบนี้ ยังมีผลน้อยมากกับการเปลี่ยนแปลงของสมองตามอายุ ในคนชรา การออกกำลังกายเเบบบริหารกล้ามเนื้อหัวใจ จะช่วยทำให้เลือดไหลไปหล่อเลี้ยงสมองได้มากขึ้น ซึ่งช่วยส่งออกซิเจนที่จำเป็นไปให้สมองได้มากขึ้นอีกด้วย (สมองใช้ออกซิเจนกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนทั้งหมดที่มีในร่างกาย)

     2. ช่วยให้สมองสร้างฮอร์โมนได้มากขึ้น

              การที่เราออกกำลังกาย ก็เหมือนกับการที่เราเอาสารอาหารที่จำเป็นไปใส่ไว้ในพืช ซึ่งช่วยให้พืชเจริญเติบโตรวดเร็วเเละอุดมสมบูรณ์ นักเคมีรับรู้ว่า การที่สมองได้รับสารที่มีส่วนช่วยบำรุงสมอง หรือที่เรียกว่า BDNF จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองและเพิ่มจำนวนเซลล์สมอง นี่เป็นความจริงที่สุด โดยเฉพาะกับสมองส่วนฮิปโปเเคมปัส ซึ่งเป็นหน่วยความจำของสมอง และสมองส่วนนี้จะเสื่อมตัวลงได้ง่ายเมื่ออายุมากขึ้น ยิ่งคุณออกกำลังกายมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งหลั่งสารบำรุงสมองมากเท่านั้น




     3. ช่วยลดความหดหู่และอาการวิตกกังวล

              ความโศกเศร้าหดหู่ จะส่งผลให้ความสามารถในการประมวลผลของสมองทำงานได้ช้าลง และทำให้เราไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อและตัดสินใจอะไรได้ รวมทั้งก่อปัญหาต่อความจำของเราอีกด้วย และหากใครที่หดหู่อย่างรุนแรง คุณหมอก็อาจจะออกใบสั่งยาแก้อาการซึมเศร้าให้ สำหรับคนที่ซึมเศร้าไม่หนักมาก การออกกำลังกายจะช่วยให้คุณอารมณ์ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นการผลิตสารเซโรโธนิน และสารโดพามีน ซึ่งเป็นสารสำคัญที่สมองหลั่งออกมาเมื่อกำลังมีความสุข นอกจากนี้ การออกกำลังกาย ยังช่วยเพิ่มระดับของสารเอ็นโดรฟิน สารแห่งความสุขอีกด้วย

     4. ช่วยลดผลจากความเครียด

              ถ้าฮอร์โมน BDNF จะช่วยให้สมองของคุณดูหนุ่มขึ้น ก็มีสารตรงข้ามแบบอื่น ๆ ที่ทำให้สมองของคุณแก่ตัวลงเช่นกัน นั่นรวมไปถึงฮอร์โมนที่มีชื่อว่า คอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนเเห่งความเครียด การทำอะไรช้า ๆ การที่มีความคิดกระจัดกระจาย และอาการขี้หลงขี้ลืม ล้วนแล้วแต่เกิดจากความเครียดมากกว่าที่เราจะตระหนักซะอีก 

              การออกกำลังกายจะช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล และช่วยให้คุณกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่า การออกกำลังกายช่วยสร้างเซลล์ในส่วนของสมองที่มีชื่อว่า Dentate Gyrus ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับส่วน hippocampus ที่เกี่ยวกับการสร้างความทรงจำ เซลล์สมองในส่วนนี้จะค่อย ๆ ว่างเปล่าไปเมื่อเราเกิดอาการเครียด
เวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย
            เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนเราในสังคมยุคปัจจุบัน                ทั้งในเมืองเล็กเมืองใหญ่ ในแต่ละวันจะต้องตื่นแต่เช้ารีบเร่งไปทำงาน ตอนเย็นเลิกงานแล้วต้องรีบกลับบ้าน การจราจรที่ติดขัด ดังนั้นการที่จะบอกว่า ออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดนั้นคงบอกชัดเจนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเวลา และความพร้อมของแต่ละคน
             ตอนเช้าอากาศค่อนข้างดี มีมลภาวะน้อย ก็เหมาะในการออกกำลังกาย ตอนเย็นหลังจากเลิกงาน ช่วงเวลา 16:00 - 18:00 น. ก็เหมาะสม ไม่ต้องกังวลเรื่องไปทำงาน และเป็นช่วงที่ระบบกล้ามเนื้อที่ได้เคลื่อนไหวมาในตอนกลางวันแล้ว ทำให้การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อดีขึ้นที่จะออกกำลังกายในตอนเย็น
              ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนที่จะต้องพิจารณาตัวเอง ว่าควรจะออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง คงไม่มีกฎตายตัวสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน   แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือร่างกายของคนเราต้องมีการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายมีสุขภาพดี
ระยะเวลาในการออกกำลังกาย
           ระยะเวลาในการออกกำลังกาย จะออกกำลังกายนาน กี่นาที กี่ชั่วโมง เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทางด้านการแพทย์ก็ไม่ได้กล่าวไว้ตายตัวว่าออกกำลังกายนานแค่ไหน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อายุ สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง เช่นความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ
           แต่โดยทั่วไปทางการแพทย์แนะนำให้ ออกกำลังกายนานประมาณ 10 – 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน หรือ วันเว้นวัน หรือ ออกกำลังกาย 10 นาที แล้วรู้สึกเหนื่อยก็ให้หยุดพักก่อน แล้วจึงออกกำลังกายต่ออีก จนครบเวลา 30 นาที ก็ได้
การออกกำลังกายอย่างปลอดภัย
           รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ อภิชาติ   อัศวมงคลกุล     ภาควิชาศัลยศาสตร์ ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่า ผู้ที่ออกกำลังกายควรเลือกการออกกำลังกายตามแบบที่ชอบและสะดวกที่สุด แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกวิธีออกกำลังกาย   นอกจากนี้การออกกำลังกายในครั้งแรก ๆ ไม่ควรหักโหมมาก การออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแต่หักโหม
           ในขณะออกกำลังกายให้ท่านสังเกตอาการของตัวเราในขณะออกกำลังกายด้วย โดยสังเกตอาการดังต่อไปนี้
                1. หัวใจเต้นมาก เต้นแรง จนรู้สึก
                2. หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค
                3. เหนื่อย ใจหวิว ๆ จนเป็นลม
           หากมีอาการดังกล่าวก็ให้หยุดออกกำลังกาย พักร่างกายสัก 2 วัน และเวลาออกกำลังกายครั้งต่อไปให้ลดระดับการออกกำลังกายลงการเตรียมตัวสำหรับการออกกำลังกาย
          1. ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรรับประทานอาหารรองท้อง เช่น ดื่มนม   โอวัลติน หรือน้ำเต้าหู้ 1 แก้ว (ไม่ใช่รับประทานเป็นอาหารหลัก) หากไม่กินอะไรเลยเวลาออกกำลังกายมีโอกาสเป็นลมได้
          2. ต้องทำการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง เช่นเดินภายในบ้าน รอบ ๆ บ้าน ในสนาม หรือที่ๆ เหมาะสม ประมาณ 5 – 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น หลอดเลือดมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้น
          3. เริ่มออกกำลังกายตามปกติ
          4. หลังจากออกกำลังกายตามปกติแล้ว อย่าหยุดออกกำลังกายทันที ควรผ่อนการออกกำลังกายลงจนกระทั่งชีพจรหรือการหายใจจะเข้าสู่ภาวะปกติ จึงหยุดการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายสัมพันธ์กับการหายใจ
            วิธีการหายใจที่ถูกต้อง เวลาหายใจเข้าพยายามหายใจเข้าทางจมูกเท่านั้น เพราะภายในจมูกมีเครื่องกรองอากาศ คือ ขนจมูก และมีเยื่อเมือก ๆ เหนียว ๆ ช่วยจับฝุ่นละอองในอากาศที่เข้ามาพร้อมลมหายใจเข้า ให้สูดลมหายใจเข้าในปอดให้มากที่สุดให้ปอดพองโต กลั้นหายใจไว้โดยนับ 1 ถึง 3 ช้า ๆ แล้วจึงค่อย ๆ หายใจออกทางปากให้มากที่สุดให้ปอดแฟบลง หรือท้องแฟบลง เพื่อให้คาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียจากเซลล์ออกมาให้มากที่สุด นั่นคือออกซิเจนจะเข้าไปในปอดเต็มที่ และ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากปอดเต็มที่ เช่นกัน ปอดเรามีความจุ 2 ข้าง ประมาณ 3.5 – 4.5 ลิตร แต่ที่เราหายใจตามปกติอยู่ทุกวันนั้น อากาศเข้าปอดเพียงครึ่งลิตรเท่านั้นเอง ของเสียหรือคาร์บอนไดออกไซด์ก็ออกมาไม่มาก เราจึงต้องฝึกการหายใจให้ถูกต้องเพื่อ
สุขภาพของเราเอง
          
ปัจจุบันมีการรวมกลุ่มออกกำลังกายโดยการ เต้นแอโรบิค (aerobic) กันมากมาย มีผู้นำเต้น พร้อมกับเปิดเพลงจังหวะเร่าร้อน รีบเร่ง และเราก็ต้องเต้นให้เข้าจังหวะตามคนนำซึ่งอยู่บนพื้นสูง คนที่ร่วมเต้นบางคน บางครั้ง ก็เครียด เกร็งกลัวจะไม่ถูกจังหวะ ไม่เข้ากับกลุ่ม ไม่เข้ากับคนที่เต้นนำ ทำให้มีความเครียดเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นการเต้นที่ไม่ถูกต้อง การเต้นแอโรบิคที่ถูกต้องร่างกายจะเกิดด่างเพราะได้ออกซิเจนมาก แต่ที่เต้นอย่างเร่งรีบเร่าร้อนนั้น เป็น อันแอโรบิค ( unaerobic ) คือกลับได้คาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดกรด  มาก ๆ เข้าก็กลับเป็นโทษแก่ร่างกายอีก
          ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องฝึกการหายใจให้ถูกต้อง ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเองข้อแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายต่าง ๆ ตามที่กล่าวมานี้เป็นข้อแนะนำทางการแพทย์ทั่ว ๆ ไป ไม่เป็นกฎตายตัว ผู้ที่จะออกกำลังกายต้องพิจารณาตัวเอง อายุ สุขภาพ โรคภัยที่กำลังเป็นอยู่ จะออกกำลังกายอย่างไร แค่ไหน เมื่อไหร่ บางครั้งอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ ขอคำแนะนำก่อนออกกำลังกาย

10 วิธีลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี





    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

              แม้ว่าการออกกำลังกาย จะเป็นวิธีที่คนรักสุขภาพและคนที่ต้องการลดน้ำหนักหลายคนเลือกใช้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าจริง ๆ แล้วการออกกำลังกายไม่ใช่ทางออกของการลดน้ำหนักทั้งหมด เพราะปัจจัยอื่น ๆ รอบตัว ก็ยังช่วยส่งผลในการลดน้ำหนักของคุณโดยที่คุณอาจจะไม่รู้หรือทำไม่ถูกวิธีก็เป็นได้ เอาเป็นว่าไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้เรานำ 10 วิธีลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ให้หุ่นดีเร็วทันใจไม่ต้องรอนานมาฝากแล้วค่ะ

           1. จำกัดปริมาณแคลอรี่ที่กินต่อวัน

              รู้หรือไม่ว่า สิ่งสำคัญมากต่อการลดน้ำหนักไม่ใช่แค่เพียงออกกำลังกายเท่านั้น แต่คุณต้องจำกัดอาหารที่กินด้วย หากคุณต้องการลดน้ำหนักให้ได้ผลดี คุณควรจะเผาผลาญ 3,500 แคลอรี่ในหนึ่งสัปดาห์ นั่นแปลว่าคุณต้องเบิร์น 500 แคลอรี่ต่อวัน ซึ่งอาจจะเป็นการยากหากจะออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว ฉะนั้นคุณควรตัดอาหารที่มี 250 แคลอรี่ขึ้นไปและไม่ได้เป็นอาหารหลัก เช่น ไอศกรีม หรือขนมหวานต่าง ๆ แล้วเบิร์นออกด้วยการออกกำลังกายอีก 250 แคลอรี่ เพียงเท่านี้การลดน้ำหนักจะไม่ทำให้คุณรู้สึกว่าเป็นเรื่องทรมานอีกแล้ว

           2. อย่าลืมออกกำลังกายตอนเย็น

              หลังจากเวลาเลิกงานอันแสนหนักหน่วงแล้ว อย่าเอาความเหนื่อยและความขี้เกียจมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกายเลยดีกว่า เพราะอาหารที่คุณกินไปหลายแคลอรีตั้งแต่เช้านั้น คุณจำเป็นต้องออกกำลังกายเผาผลาญออกไปบ้าง หากไม่มีเวลาออกไปฟิตเนสนอกบ้าน หรืออากาศในวันนั้น ๆ ไม่เป็นใจ คุณก็สามารถออกกำลังกายในบ้านได้ด้วยการกระโดดเชือก หรือทำท่ากายบริหารต่าง ๆ เพื่อให้รูปร่างกระชับ เป็นต้น

           3. ทำคาร์ดิโอ
              หากใครเป็นผู้หลงใหลในการออกกำลังกายตัวจริง แน่นอนว่าจะต้องรู้จักการทำคาร์ดิโอ หรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ที่ใช้ความเข้มข้นในการออกกำลังกายต่ำ และใช้พลังงานจากออกซิเจนเป็นหลัก ใครที่กำลังอยากลดน้ำหนัก ควรทำคาร์ดิโออย่างจริงจังประมาณ 45 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น วิ่ง หรือปั่นจักรยานในร่ม วิธีเหล่านี้จะช่วยให้ระบบเผาผลาญอาหารของคุณดีขึ้นได้ด้วย 




           4. ดื่มน้ำเยอะ ๆ 

              นอกจากจะช่วยให้ร่างกายของคุณสดชื่นขึ้นแล้ว การดื่มน้ำยังมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักด้วย ฉะนั้นลองดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารทุกครั้ง จะช่วยให้คุณกินอาหารได้น้อยลง หรือเลือกกินอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำเยอะ เช่น ผักและผลไม้ นอกจากนี้ ผลวิจัยชี้ว่าการดื่มน้ำเย็น จะช่วยทำให้ระบบเผาผลาญอาหารทำงานได้เร็วขึ้น แถมยังช่วยลดอาการอยากน้ำหวานและน้ำอัดลม ที่ทำให้เกิดอาการอ้วนฉุได้ง่ายอีกด้วย

           5. กินมื้อเช้าอย่าให้ขาด

              ชีวิตที่เร่งรีบทุก ๆ วัน อาจทำให้คุณไม่ได้กินอาหารเช้า ซึ่งอาหารเช้านั้นเป็นมื้อสำคัญที่สุดและยังกินได้เยอะโดยไม่ต้องกังวลว่าน้ำหนักจะขึ้นด้วย เพราะการกินอาหารเช้าจะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีมากกว่ามื้ออื่น ๆ  ฉะนั้นตื่นเช้าอีกสักนิดเพื่อไม่ให้พลาดมื้อเช้ากันดีกว่าเนอะ

           6. กินผักผลไม้ทุกวัน
              ในหนึ่งสัปดาห์ร่างกายของคุณควรได้รับผักและผลไม้อย่างน้อย 5 วันหรือทุกวันได้ยิ่งดี เพราะผัก และผลไม้เป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ อีกทั้งยังช่วยเติมใยอาหารให้แก่ร่างกาย ที่ช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย ใครที่รู้ตัวว่าไม่ค่อยได้รับผักและผลไม้เข้าสู่ร่างกายบ่อย ๆ ก็รีบปฏิวัติมื้ออาหารของตัวเองกันเถอะ




           7. หยุดกินอาหารขยะ

              แม้ว่าอาหารขยะจะเป็นอาหารที่หากินง่ายและใช้เวลาทำไม่นาน แต่อาหารขยะนับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักเลยล่ะ ยิ่งหากคุณกินแต่อาหารที่เต็มไปด้วยไขมันและน้ำตาล จะส่งผลให้คุณเป็นคนขี้โมโหง่ายและยังทำให้เฉื่อยชาอีกด้วย ฉะนั้นเวลาจะเลือกกินอาหารครั้งต่อไปควรเลือกอาหารที่ปราศจากโปรตีนจากข้าว น้ำตาล นม คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ จะช่วยให้น้ำหนักลดลงอย่างเห็นผลในเวลาไม่นาน

           8. เตรียมมื้อกลางวันด้วยตัวเอง

              บางคนอาจจะคิดว่า การเลือกกินอาหารเพื่อลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะเวลาออกไปข้างนอกก็คงไม่ค่อยเจอร้านอาหารเพื่อสุขภาพกันง่าย ๆ ฉะนั้นลองเสียเวลาในตอนเช้าสักนิด เพื่อเตรียมอาหารกลางวันใส่กล่องมากินที่ทำงานเอง เพราะคุณสามารถจัดแจงอาหารแคลอรี่น้อยมารวมกันเองได้โดยไม่ต้องง้อร้านอาหารข้างนอกเลยจ้า

           9. มีความสุขกับทุกมื้ออาหาร

              หากคุณอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก คุณก็ควรจะต้องกินอาหารในปริมาณมากพอที่จะทำให่้คุณอิ่มท้องด้วย เพราะวิธีนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องทนทรมานเพราะความหิวโหย และจะได้ไม่ต้องเกิดอาการตบะแตกอย่างที่หลาย ๆ คนเป็น แต่อย่างไรก็อย่าลืมคำนวณแคลอรี่ในอาหารดี ๆ และเน้นกินเยอะ ๆ ในมื้อเช้าและเบามื้อเย็นจะดีที่สุด

           10. มีสมาธิในการออกกำลังกาย

              ต้องยอมรับว่าในยุคนี้เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีจริง ๆ เพราะเวลาออกไปนอกบ้านก็เห็นแต่คนก้มหน้ากดโทรศัพท์กันเป็นแถว แต่ทว่าในเวลาออกกำลังกาย ควรจะเป็นเวลาที่คุณจะตั้งใจลดน้ำหนักจริง ๆ ใช่ไหมล่ะคะ ฉะนั้นคุณควรปิดเครื่องมือสื่อสารทุกอย่างแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าให้เรียบร้อย เวลาออกกำลังกายเสร็จแล้วค่อยกลับมาเช็กก็ได้

7 วิธีออกกำลังกายง่าย ๆ แต่ช่วยให้หุ่นเป๊ะเว่อร์






    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

              คงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าทุกวันนี้หลายคนหันมาให้ความสนใจกับการออกกำลังกายมากขึ้น อย่างจะเห็นได้ตามฟิตเนสที่มีผู้ใช้บริการแน่นขนัด อีกทั้งตามริมทางก็เห็นผู้คนออกมาวิ่งกันเต็มไปหมด อาจเป็นเพราะอาหารเดี๋ยวนี้มีไขมันเยอะ จนทำให้อ้วนพุงพลุ้ยแบบที่ไม่อยากเป็น แต่เอาเข้าจริงแล้ว การออกกำลังกายสามารถทำได้ทุกที่ไม่จำเป็นต้องออกมาฟิตเนสราคาแพงด้วยซ้ำ เพราะคุณสามารถทำตาม 7 วิธีการออกกำลังกายง่าย ๆ แบบที่เราได้นำมาฝากในวันนี้ ลองทำต่อเนื่องกันดูสิคะ รับรองหุ่นเป๊ะเว่อร์อย่างกับนางแบบแน่ ๆ 
           กระโดดเชือก

              วิธีออกกำลังกายยอดนิยม เพราะราคาถูก และง่ายทำได้ทุกที่ทุกเวลา จึงทำให้สาว ๆ หลายคนเลือกออกกำลังกายด้วยวิธีนี้ และรู้ไหมว่าการกระโดดเชือกช่วยเผาผลาญแคลอรี่ต่อนาทีได้มากกว่าการออกกำลังกายด้วยวิธีอื่น ว้าว ! เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะคะ งั้นหยิบเชือกมากระโดดกันเลย ทางที่ดีชวนเพื่อนมาโดด แล้วเปิดเพลงฟังไปด้วยจะช่วยให้โดดได้นานกว่าเดิมอีกนะ

           ฝึกท่าสควอท (Squats)

              การทำท่าสควอท จะช่วยกระชับรูปร่าง ทำให้มีพลัง และช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ล้นหลาม แต่ถ้าอยากให้เพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ และเร่งอัตราการเต้นของหัวใจให้เร็วขึ้น ก็ลองทำท่าสควอทสลับการกระโดดควบคู่ไปด้วย (jump squats) หรือทำท่าสควอทธรรมดา แต่ยกดัมเบลช่วยถ่วงน้ำหนักไปด้วยเพื่อช่วยให้เผาผลาญได้มากขึ้น เพียงเท่านี้คุณก็จะได้รูปร่างที่กระชับสวยงามแล้ว





           ฝึกท่าดันพื้น (Push Ups)
              น่าเสียดายจริง ๆ ที่การออกกำลังกายด้วยวิธีที่ดีนี้ กลับกลายเป็นวิธีที่หลายคนไม่เลือกทำเพราะทำยากอยู่ไม่น้อย แต่รู้ไหมคะว่า หากอดทนทำให้สำเร็จ รูปร่างของคุณจะออกมาสวยสุขภาพดีมากเลยแหละ ลองทำท่าดันพื้นแบบใหม่ โดยลดตัวให้ต่ำลงกว่าที่เคยทำจะได้ไม่ยากเกินไป ทำไปเรื่อย ๆ จนชิน จะทำให้ได้กล้่ามเนื้อช่วงบน และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว แล้วคุณก็จะดูเป็นผู้หญิงสุขภาพดีขึ้นมาเลย

           ฝึกท่าย่อเข่า (Lunges)

              หากต้องการให้กล้ามเนื้อที่ขาตึงกระชับ ควรเลือกฝึกท่าย่อเข่าด่วนจี๋เลยค่ะ และเพื่อผลลัพธ์ที่ดี แถมรวดเร็วทันใจ ควรยกดัมเบลหรือย่อเข่าพร้อมกระโดดสับไปมาทีละข้างด้วยก็ได้ ขอแนะนำให้ทำ 3 เซต โดย (1 เซตเท่ากับการทำท่าย่อเข่าสลับข้าง 10 ครั้ง) ต่อวัน จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมเลยค่ะ

           ว่ายน้ำ 
              นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนรักการว่ายน้ำจริง ๆ เพราะนอกจากคุณจะได้ออกกำลังกายในแบบที่ชอบแล้ว ยังได้หุ่นดีฟิตและเฟิร์มมาเป็นของแถมด้วย เพราะการว่ายน้ำจะช่วยให้รูปร่างของคุณเปลี่ยนแปลงไปได้มากสุด ๆ จนคุณต้องประหลาดใจ โดยจะช่วยให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว และกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ แข็งแรงขึ้น







           วิ่ง

              การออกกำลังกายด้วยวิธีวิ่ง ให้ประโยชน์ต่อคุณมากมายหลายประกาย ทั้งช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้ไขมันส่วนเกินยุบลง เผาผลาญแคลอรี่ได้มากมาย และทำให้สุขภาพร่างกายทุกส่วนดีขึ้น ช่วงเวลาในการวิ่งที่ดีที่สุดคือช่วงเช้า เพราะคุณจะได้รูปร่างที่ดีจากการออกกำลังกาย แถมยังได้รับวิตามินดีจากแสงแดดอ่อน ๆ ตอนเช้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย

           ขี่จักรยาน

              การออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยาน เป็นวิธีออกกำลังกายที่เรียกเหงื่อได้ดี แถมยังช่วยให้ขาของคุณกระชับขึ้นด้วย อีกทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายในระยะยาวอีกต่างหาก เอาเป็นว่าวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ชวนเพื่อน ๆ ไปขี่จักรยานกันดีกว่า คราวนี้ล่ะหุ่นสวยเป๊ะกันยกก๊วนเลยเชื่อสิคะ

ที่มาของบทความดีๆ  




     

รายการสโมสรสุขภาพ  ลดน้ำหนักถูกวิธี ไม่แก่ ไม่โยโย่




การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี








ใบงานที่ 3


ใบงานที่ 3

ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาไทยปี 48




ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาไทยปี 49




ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาไทยปี 50




ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาไทยปี 51




ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาไทยปี 52




ข้อสอบ  O-net วิชาสังคมศึกษา ปี 48




ข้อสอบ  O-net วิชาสังคมศึกษา ปี 49




ข้อสอบ  O-net วิชาสังคมศึกษา ปี 50




ข้อสอบ  O-net วิชาสังคมศึกษา ปี 51




ข้อสอบ  O-net วิชาสังคมศึกษา ปี 52




ข้อสอบ  O-net วิชาวิทยาศาสตร์ ปี 48




ข้อสอบ  O-net วิชาวิทยาศาสตร์ ปี 49




ข้อสอบ  O-net วิชาวิทยาศาสตร์ ปี 50




ข้อสอบ  O-net วิชาวิทยาศาสตร์ ปี 51




ข้อสอบ  O-net วิชาวิทยาศาสตร์ ปี 52




ข้อสอบ  O-net วิชาคณิตศาสตร์  ปี 48




ข้อสอบ  O-net วิชาคณิตศาสตร์  ปี 49




ข้อสอบ  O-net วิชาคณิตศาสตร์  ปี 50




ข้อสอบ  O-net วิชาคณิตศาสตร์  ปี 51




ข้อสอบ  O-net วิชาคณิตศาสตร์  ปี 52




ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาอังกฤษ  ปี 48




ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาอังกฤษ  ปี 49




ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาอังกฤษ  ปี 50




ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาอังกฤษ  ปี 51




ข้อสอบ  O-net วิชาภาษาอังกฤษ  ปี 52


Eng o net52 from Yam Moo

คณิตศาสตร์ O-NET + PAT1



Cr. http://www.youtube.com/watch?v=oj1x1Kq49nQ

ติวเข้ม GAT วิชาภาษาอังกฤษ


Cr. http://www.youtube.com/watch?v=P7NfYopdXIA









ใบงานที่ 1



ใบงานที่ 1


วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

My first blog




My first blog






















มารู้จักการเผ่าถ่านไร้ควันกัน





เมื่อก่อนเราเผาถ่านกัน เผาครั้งนึงใช้เวลานานแถมยังมีควันเยอะ
วันนี้พี่โจน จันใดก็มีวิธีเผาถ่านแบบใหม่ ประหยัด ใช้เวลาน้อย ไร้ควัน แถมได้ถ่านคุณภาพสูงมาสอนให้เรารู้จักการเผาถ่าน
ที่มีคุณภาพและยังไม่ทำให้เกิดควันพิษอีกด้วย